ลองทำ Continuous Delivery (CD)
Last updated
Last updated
แนะนำให้อ่าน บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของคอร์ส 👶 Azure DevOps ที่จะมาสอนการใช้งานทุกสิ่งที่ DevOps ควรจะต้องมี เพื่อให้เราสามารถทำ Feedback loop ได้ไวขึ้น ดังนั้นถ้าเพื่อนๆสนใจอยากดูว่ามันทำอะไรได้ก็กดไปอ่านที่บทความหลักได้เลยครัช
คำเตือน ถ้าเพื่อนๆต้องการทำตามบทความนี้ จะต้องมีโปรเจคใน Azure DevOps ที่มีการนำทำ Continuous Integration ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าใครยังไม่มีก็สามารถไปทำตามได้จากบทตัวนี้ก่อน ลองทำ Continuous Integration (CI) **แล้วค่อยกลับมาทำตามบทความนี้ก็ได้ครัช
หลังจากที่เรามีระบบ Automation ในการตรวจสอบความถูกต้องเวลาที่มีคนส่งงานเข้ามา โดยการใช้ Continuous Integration หรือ CI เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นในรอบนี้เราก็จะลองทำระบบ Automation ให้มันเอางานของเราไปขึ้นบทเซิฟเวอร์ของเราดูบ้าง ดังนั้นไปดูกันเบย
ในการทำ Build pipeline ในรอบนี้จะเน้นไปที่เรื่องการเอา source code ของเราไป deploy ที่เซิฟเวอร์กันบ้าง ซึ่งเราเรียกขั้นตอนนี้ว่าการทำ Continuous Delivery หรือย่อๆว่า CD นั่นเอง ซึ่งเราสามารถเข้าไปจัดการ Build pipeline ได้จากเมนูด้านซ้ายมือในหมวดของ Pipeline นั่นเอง ดังนั้นจิ้มมันไปซะ
Continuous Delivery การทำงานของ CD ตามปรกติคือเมื่อเรา push งานขึ้นมาที่เซิฟเวอร์แล้ว ระบบก็จะนำมา build test ต่างๆตามสิ่งที่เรากำหนดไว้ใน Continuous Integration (CI) ซึ่งถ้ามัน build ผ่านหมดแล้ว เราก็จะให้มันทำการ deploy ลงไปที่เซิฟเวอร์แบบดัตโนมัตินั่นเอง แต่โดยปรกติเราจะ deploy ไปที่ตัว Test Environment หรือ Staging Environment เพื่อตรวจเช็คความถูกต้องต่างๆก่อน เช่นดูว่า features ใหม่ถูกต้องไหม UX ดีพอหรือยัง บลาๆ ซึ่งเมื่อเราทดสอบทุกอย่างจนหนำใจแล้ว เราก็จะทำการสั่ง CD ไปยัง Production Environment ในขั้นตอนสุดท้ายนั่นเอง
ในการทำ Continuous Delivery นั้นมันจะอยู่ในหมวดย่อยของ Pipelines นั่นก็คือเมนู Releases นั่นเอง
เจ้าโปรเจคของเราพอดีว่ามันพึ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่ มันก็จะยังไม่มี Release อะไรเลย ดังนั้นที่ด้านขวามือกดจงกด New pipeline
ลงไปซะ
ถัดมาเขาก็จะโชว์ให้เราดูว่าเราจะตั้งวิธีการ deploy ไปที่ไหนบ้าง โดยเขาจะแบ่งออกเป็น 2 เรื่องคือ Artifacts และ Stages นั่นเอง
ในส่วนของ Stages คือการกำหนดว่า เราจะเอางานของเราไปทำการ deploy ไปที่เซิฟเวอร์ หรือ Environment ไหนบ้าง โดยในขั้นตอนนี้ที่ด้านขวาสุดเขาจะมี Template ในการ deploy ให้เราเลือกหลายแบบเลย ซึ่งในตัวอย่างนี้ผมจะ deploy ตัวเว็บไปบนคลาว์ของ Microsoft ละกัน ดังนั้นก็เลือก template เป็น Azure App Service deployment ได้เบย
หลังจากที่เลือก template เรียบร้อยแล้ว ถัดไปเราก็จะต้องไปกำหนดค่าต่างๆว่าเราจะ deploy ไปที service ตัวไหนนั่นเอง โดยการกดที่ Task ตามรูปได้เลย
ในขั้นตอนตั้งค่านี้ เราจะต้องเลือก subscription ที่เราจะทำงานด้วยเสียก่อน โดยการเลือก Subscription ตามรูปด้านล่างเลย
แนะนำให้อ่าน สำหรับเพื่อนๆที่ยังไม่เคยสมัครคลาว์ของ Microsoft ก็สามารถไปสมัครได้ตามบทความด้านล่างนี้เลยครัช (ฟรี + ได้สิทธิ์ประโยชน์เยอะม๊วกๆ รายละเอียดอ่านได้ในลิงค์เลย) สมัคร Microsoft Azure****
หลังจากที่เลือก subscription ไปเรียบร้อยแล้วถัดไปเราก็จะต้องให้สิทธิ์ในการเข้าใช้งาน โดยการกดที่ปุ่ม Authorize
ตามรูปเบย
ทำการ Login เพื่อมอบสิทธิ์โลด
ถัดไปก็เลือก Service ที่เราจะ deploy ขึ้นไป ซึ่งในตัวอย่างผมได้ web service ไว้บนคลาว์ของผมแล้วชื่อว่า saladpuk-cd ดังนั้นในช่อง App service name ผมก็จะเลือกใช้ตัวนี้นั่นเอง
แนะนำให้อ่าน สำหรับเพื่อนๆที่ยังไม่ได้สร้าง Web App บนคลาว์ สามารถเข้าไปดูวิธีการสร้างได้จากบทความด้านล่างนี้ได้เลยครับ สร้างเว็บตัวแรกบนคลาว์กัน****
เรียบร้อยครับสำหรับการตั้งค่าว่าเราจะเอางานไปขึ้นที่เซิฟเวอร์ตัวไหน ตามรูปเลย
ในส่วนของ Artifacts คือการเลือกว่าเราจะเอาไฟล์ไหนไปขึ้นเซิฟเวอร์บ้าง โดยเราสามารถกดได้จากเมนูด้านบนที่ชื่อว่า Pipeline แล้วเลือก Artifacts ตามรูปเลยครัช
เมื่อเลือกแล้วเขาจะเปิดเมนูด้านขวาขึ้นมาให้เราเลือกว่า ไฟล์ที่จะเอาไป deploy นั้นอยู่ที่ไหน ซึ่งในตัวอย่างนี้ผมจะใช้ไฟล์ที่ได้จากการทำ Continuous Integration (CI) มาใช้นั่นเอง ดังนั้นเลือกตามรูปได้เลย
ซึ่งเมื่อเลือกเสร็จเรียบร้อยเราก็กดปุ่ม Add
ที่ด้านล่างสุดท้ายได้เลย
Default Version เราสามารถเลือกได้ว่าเราจะเอาไฟล์จากการทำ Continuous Integration (CI) ในรูปแบบไหน ซึ่งแบบมาตรฐานคือเขาจะเลือกตัวล่าสุดไว้ให้เสมอ ซึ่งในจุดนี้เราสามารถปรับเลือก version ของเราได้เองตามที่ชอบใจเลย (รายละเอียดขอแยกไปไว้บทอื่นนะฮั๊ฟ)
ถ้าเราตั้งค่าทุกอย่างจนพอใจแล้ว หรืออยากบันทึกการตั้งค่านี้ไว้แล้วค่อยกลับมาแก้ไขภายในก็สามารถทำได้โดยการกดปุ่ม Save
ที่มุมบนขวาได้เลย
สุดท้ายเขาก็จะให้เรา commit นิดหน่อย ซึ่งจะใส่ comment ว่าเราทำอะไรลงไปเพื่อเตือนความจำตอนที่เราจะย้อน state กลับได้ง่ายๆเอาไว้ก็ดี สุดท้ายก็กด OK
ไปครับ
เมื่อเราตั้งค่าครบทุกอย่างจนพอใจแล้ว ที่ปุ่มมุมบนขวา ...
เมื่อกดเข้าไปให้เลือก Release
เพื่อให้ระบบทำการเริ่มกระบวนการ Deploy งานไปขึ้นเซิฟเวอร์ได้เลย ตามรูปด้านล่าง
คราวนี้เราก็เลือก State ที่เราอยากจะทำการ Release ได้เลย ซึ่งในตัวอย่างเราสร้างไว้ชื่อว่า State 1
ก็เลือกมันไปแล้วก็กดปุ่ม Create
ได้เลย
การตั้ง Deploy ของเราก็เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ซึ่งการตั้งค่าตัวนี้จะเป็นการทำ Manual Approve นั่นหมายความว่า ถ้าจะทำการ deploy เราจะต้องมานั่งกด Approve เพื่อสั่งให้มันเริ่ม deploy ลงไปนั่นเอง โดยเราสามารถเข้าไปกด Manual Approve ได้โดยการกดที่ชื่อ Deployment ตามรูปเลย
Manual Approve เป็นมาตรฐานที่ดีสำหรับการ Deploy งานไปยัง Environments ที่ค่อนข้าง sensitive เช่น Production Environment เพราะเราควรจะต้องมีการตรวจสอบงานพวกนี้มาแล้วในระดับหนึ่ง ไม่ใช่เขียนโค้ดเสร็จก็เอาโค้ดตัวนั้นมา deploy เลยนั่นเอง
เมื่อกดเข้ามาแล้วเราก็จะเจอปุ่ม Deploy เพื่อเป็นการยืนยันว่าเราจะเอางานไปใช้บนเซิฟเวอร์นั้นจริงๆ ซึ่งในตัวอย่างผมไม่มีอะไรที่ต้องกังวลอยู่แล้วเลยสามารถกด Deploy ได้เลยครับ
อย่าลืมกด commit + comment ให้เรียบร้อยด้วย
เรียบร้อยครับตอนนี้ก็แค่ไปดื่มกาแฟสักแก้รอมันเอางานขึ้นจนเสร็จนั่นเอง
ทำตามแล้วไม่ได้ สำหรับใครที่ทำตามทุกอย่างแล้วมันไม่ผ่านแล้วเขาแจ้งเตือนประมาณด้านล่างนี้ ก็ไม่ต้องตกใจนะครับ วิธีแก้อยู่ในหัวข้อ แก้ Build Pipeline ด้านล่างครับ
Error: No package found with specified pattern: D:\a\r1\a*\.zip
เรียบร้อยครับเว็บของผมก็พร้อมใช้งานได้ตามปรกติแล้ว เย่
ถ้าเรากลับไปดูที่ Build > Summary ที่เราทำไว้ ก็จะเห็นว่าตัว Build ของเราถูกส่งขึ้นไป Deploy ทั้งหมดกี่ครั้งแล้ว สำหรับหรือล้มเหลวยังไงบ้าง
เมื่อทำการตั้งค่าทุกอย่างเสร็จแล้ว แต่เราอยากแก้ไขเพิ่มเติมก็สามารถทำได้โดยการกดที่ Release เหมือนเดิม
แล้วก็เลือกที่ปุ่ม Edit
ที่ด้านบนขวาเพื่อทำการแก้ไขได้เลยครัช
สำหรับเพื่อนๆที่ทำตามผมมาตั้งแต่ทำ Continuous Integration (CI) จนถึง Continuous Delivery (CD) ในบทนี้แล้วก็ยังไม่ได้ ก็ไม่ต้องตกใจนะครับ เพราะในตัวอย่างการทำ CI มันจะต้องใส่ขั้นตอนเพิ่มเข้าไปอีกนิดหน่อยเพื่อให้มันทำงานได้ครับ โดยให้เรากลับไปที่ Pipeline > Build ครับ (ส่วนสาเหตุจะอธิบายไว้ในขั้นตอนด้านล่างนะจ๊ะ)
แล้วทำการกด Edit
ที่มุมบนขวาได้เลย
เราจะเห็นโค้ด .yaml ที่เอาไว้กำหนดขั้นตอนการทำงานต่างๆ ซึ่งภายในนั้นมันจะมีแค่สั่งให้เราใช้คำสั่งมาตรฐานอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งตามปรกติถ้าเราจะเอางานไป deploy เราจะต้องใช้คำสั่งในการ publish เพิ่มเข้าไปด้วย
ดังนั้นในส่วน steps ที่วงไว้สีแดงๆ เราจะลบมันทิ้งทั้งหมด แล้วลองเขียนใหม่ให้เข้าใจง่ายๆดูนะครับ โดยเอาโค้ดแต่ละขั้นตอนด้านล่างไปค่อยๆวางลงโซนที่เราลบไป ตามขั้นตอนด้านล่างนี้เลย
เรียบร้อยละครับ สุดท้ายเราจะได้โค้ดทั้งหมดออกมาหน้าตาประมาณนี้
ถ้าทุกอย่างพร้อมแล้วก็กดปุ่ม Save
ที่ด้านบนขวาได้เลย
หลังจากนั้นก็กด Run
ตามปรกติครับ
ขั้นตอนจะเพิ่มขึ้นมาหน่อยนึง แต่ถ้าอ่านแล้วก็จะเข้าใจได้ว่ามันทำอะไร เมื่อมองกลับไปที่ไฟล์ .yaml นั่นเอง
แนะนำให้อ่าน สำหรับรายละเอียดการสร้าง yaml เพื่อทำ run steps นั้นสามารถอ่านได้จากลิงค์หลักของ Microsoft ได้เลย ส่วนถ้าเพื่อนๆใช้ภาษาอื่นในการเขียนเว็บก็สามารถเลือกภาษาที่ตัวเองใช้ได้จากเมนูด้านซ้ายมือเลย Microsoft document - Build, test, and deploy .NET Core apps
หลังจากที่ได้ลอง CI/CD ไปเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ในเรื่องของการวางแผนงานต่างๆเช่น Product Backlog หรืองานในแต่ละ Iteration/Sprint ใครจะต้องทำอะไรยังไงบ้าง ดังนั้นกด Next
เพื่อไปดูเรื่อง Kanban Board กันเลยครัช